BLA premier 1ink – พรีเมียร์ ลิงค์
Part 1 – BLA พรีเมียร์ ลิงค์ ทำงานอย่างไร?
BLA Premier Link คือ ประกันชีวิตควบการลงทุนแบบ DIY
บีแอลเอ พรีเมียร์ ลิงค์ (BLA Premier Link) คือประกันชีวิตควบการลงทุน Unit link (UL) ของกรุงเทพประกันชีวิตที่สามารถ DIY ได้ 3 แฟคเตอร์ ประกอบด้วย
1. ความคุ้มครอง – เลือกความคุ้มครองได้เอง สูงสุด 250 เท่าของเบี้ยที่จ่าย
2. เบี้ยที่จะจ่าย – ขั้นต่ำ 12,000 บาทต่อปี
3. กำหนดจำนวนปีที่จะจ่ายเบี้ยได้เอง – แม้เงื่อนไขของกรมธรรม์แบบ UL จะระบุไว้ว่า 99/99 หมายความว่า ส่งเบี้ยถึงอายุ 99 ปี คุ้มครอง 99 ปี แต่เราก็จะสามารถกำหนดได้เองว่าจะส่งเบี้ยกี่ปี เช่น 10 15 20 หรือ 40 ปี เป็นต้น
อย่างไรก็ตามก่อนการซื้อกรมธรรม์แบบ UL เราควรจะเลือกจุดประสงค์ก่อนว่าซื้อไป “เพื่ออะไร” เช่น หากผมต้องการซื้อไว้เพื่อจุดประสงค์คุ้มครองการศึกษาลูก หากเกิดอะไรขึ้น ลูกผมเรียนจบป.ตรีแน่นอน ผมก็อาจจะกำหนดระยะเวลาการจ่ายเบี้ย = 21 ปี เป็นต้น
UL ทำงานยังไง
ในพาร์ตที่สองจะอธิบายให้ทุกท่านเห็นภาพไปพร้อมกัน หลังจากที่เราจ่ายเบี้ยเข้ามายังบริษัทประกันแล้ว เบี้ยประกันจะถูกหักค่าธรรมเนียม หลังจากนั้นเงินในส่วนที่เหลือจะถูกนำไปเก็บไว้ในกองทุน

ก่อนที่จะซื้อ UL ตัวฟลุคเองจะแนะนำลูกค้าทุกท่านให้วาด “Whole life cycle” ของตัวเองก่อนครับ หมายความว่าให้ลองวาดภาพอนาคตว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเราบ้างในแต่ละช่วงของชีวิต
ตัวอย่าง 1 – ความคุ้มครองยืดหยุ่น เล่มเดียว ครบ จบ ทุกอย่าง
ยกตัวอย่างตัวฟลุคเองก่อนแล้วกัน หากฟลุคคือผู้ชายอายุ 35 ปี มีลูก 1 คน อยากให้ลูกเรียนจบป.ตรี มหาวิทยาลัยรัฐในประเทศจะต้องใช้เงิน 7,500,000 บาท ฟลุคจึงตัดสินใจที่จะทำประกัน Unit link ที่ความคุ้มครอง 7,500,000 บาท จ่ายเบี้ยประกันปีละ 50,000 บาท เพราะหากเกิดอะไรขึ้นฟลุคมั่นใจได้เลยว่าลูกเรียนจบป.ตรีอย่างที่ตั้งใจไว้อย่างแน่นอน
หลังจากที่ลูกเรียนจบป.ตรี อายุประมาณ 21 (ซึ่งเราก็อายุ 56 แล้ว เตรียมเกษียณ) เราก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกต่อไป เตรียมเกษียณริมทะเลชิลๆเบอร์นั้นเลย ฟลุคจึงตัดสินใจลดทุนประกัน(ความคุ้มครอง)ลงให้ต่ำที่สุด เพื่อที่จะได้เสียค่าธรรมเนียมให้น้อยที่สุด
หากทุกท่านสังเกตตั้งแต่อายุ 67 ปีขึ้นไป (กรมธรรม์ปีที่ 33) เส้นสีแดงกับสีเขียว จะสูงขึ้นแยกชั้นจากเส้นสีฟ้าอย่างชัดเจน ซึ่ง
– เส้นสีแดง = ผลประโยชน์กรณีเสียชีวิต = ทุนประกัน หรือ 5 เท่าของมูลค่ากองทุนรวม (NAV) ขึ้นกับว่าตัวเลขใดสูงกว่า ให้ใช้ค่านั้น
ยกตัวอย่างจากภาพด้านล่าง หากฟลุคเสียชีวิตตอนอายุ 56 ปี – มูลค่าการลงทุน = 707,406.36 บาท ในขณะที่ผลประโยชน์กรณีมรณกรรม = 7,500,000 บาท ดังนั้นบริษัทฯจะจ่ายเงินก้อน 7,500,000 บาทให้กับผู้รับผลประโยชน์เนื่องจากเป็นเงินจำนวนที่มากกว่า
– เส้นสีเขียว = มูลค่าเงินในกองทุนรวม (NAV)
– เส้นสีฟ้า = เบี้ยที่เราจ่าย
แต่หากฟลุคไม่อยากได้ความคุ้มครองต่อแล้วเพราะหมดห่วงทุกอย่าง ฟลุคสามารถปิดกรมธรรม์ตอนอายุ 56 และถอนเงินจากกองทุนรวม 707,406.36 บาท เป็นเงินอีกก้อนไว้ใช้สำหรับเกษียณ

ตัวอย่าง 2 – สร้างหลักประกันสุขภาพตลอดชีพ Long-term healthcare
สำหรับในตัวอย่างนี้อาจจะเคยได้ยินคำว่า “Long-term Healthcare” มาจากหลายสำนัก และผมจะแสดงให้ดูว่าทำอย่างไร ไอเดียคร่าวๆสำหรับแผนระยะยาวนี้ คือสะสมเงินเข้าไปในกองทุนที่ UL ลงทุนอยู่ทุกๆปี จนถึงระยะเวลาหนึ่ง เช่นอายุ 55 60 65 70 (ตามที่เราวางแผนชีวิตไว้) เป็นต้น แล้วหลังจากนั้นพอหยุดส่งเบี้ยทั้งหมด เงินที่สะสมในกองทุน UL จะทยอยถูกขายมาในแต่ละปีเพื่อมาจ่ายค่าการประกันชีวิต COI ค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุน และค่าประกันสุขภาพ เป็นต้น
ยกตัวอย่างเช่น นาย Charles อายุ 30 ปี ต้องการวางแผนประกันสุขภาพแบบ Long-term Healthcare ด้วย Unit Linked 99/99 และ Happy Health แผน 5 ล้าน ฟลุคช่วยจัดพอร์ตลงทุนไว้ที่ 3% ต่อปี (ไม่ตั้งเยอะ เพราะตลาดผันผวนเหลือเกินช่วงนี้) จ่ายเบี้ยถึงอายุ 60 โดยจ่ายเบี้ยในปีแรก 54,434 บาท
คำถาม หากหยุดส่งเบี้ยแล้ว UL + ประกันสุขภาพ จะคุ้มครองได้ถึงอายุเท่าไหร่?
คำตอบ Long-term Healthcare ของนาย Charles จะคุ้มครองได้ถึงอายุ 77 ปี ซึ่งหากอยากให้ประกันสุขภาพคุ้มครองนานขึ้น จะต้องใส่เงินเข้าไปในกองทุนเยอะขึ้น เพื่อทำให้เงินที่สะสมอยู่ในกองทุน UL มากเพียงพอที่จะ cover อายุขัยของเรา
โดยการคาดการณ์อายุขัยเฉลี่ยสามารถคำนวณได้โดยนำ อายเฉลี่ยบรรพบุรุษ +8 ปี ตามหลักคำนวณอายุขัยของตัวเราจากหลักสูตร CFP®

FYI 1: ปัจจุบัน BLA ยังไม่มีแผนประกันสุขภาพแบบ UDR (เบี้ยคงที่) หากมีผมจะรีบอัพเดทโดยทันที
FYI 2: เบี้ยประกันที่จ่ายในแต่ละปีจะไม่เท่ากัน
1.เบี้ย RP: คงที่ตลอดสัญญา หากไม่เน้นความคุ้มครอง สามารถ fix วงเงินไว้ขั้นต่ำที่ 12,000 บาท
2.เบี้ย RTU: คงที่ตลอดสัญญา เนื่องจากเบี้ยตัวนี้จะเสียค่าธรรมเนียมน้อยกว่า RP เงินที่จ่ายผ่านช่องทางนี้จะถูกสะสมไว้ในกองทุนได้มากกว่าแบบแรก โดยนาย Charles สะดวกที่จะชำระเบี้ย RTU 36,000 บาทต่อปี
3.เบี้ยประกันสุขภาพ: เพิ่มขึ้นทุก 5 ปี หรือทุกปี แล้วแต่สัญญาสุขภาพที่แนบเพิ่มเข้าไป หากแนบ Happy Health ณ อายุ 30 เบี้ย Happy Health เพศชายจะอยู่ปีละ 18,434 บาท แต่หากแนบ Prestige Health เข้าไปเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นทุกปี
เบี้ยรวมที่นาย Charles ต้องจ่ายในปีแรก คือ 12,000 + 36,000 + 18,434 = 54,434 บาท
เบี้ยรวมที่นาย Charles ต้องจ่ายในปีที่ 10 คือ 12,000 + 36,000 + 23,679 = 59,679 บาท
ซึ่งจะเห็นว่าเบี้ยประกันรวมจะเพิ่มขึ้นทุกปีเนื่องจากเบี้ยประกันสุขภาพปรับขึ้น อย่างไรก็ตามแม้แผนประกันสุขภาพแบบ UDR (เบี้ยคงที่) เบี้ยจะถูกกว่าประกันสุขภาพปกติมากก็จริง แต่มีอยู่ปัจจัยนึงที่ต้องอ่านเพิ่มที่อาจจะทำให้เบี้ย UDR ไม่คงที่ตลอดสัญญาก็ได้ ตามลิ้งค์นี้
ทีนี้มาถึงคำถามฮอตฮิต…
ตัวอย่างด้านบนนี้จะเป็นประกันชีวิตอย่างเดียว แล้วถ้าเราซื้อ UL กับประกันสุขภาพ เช่น Happy Health ล่ะ? หลังเกษียณอายุ 60 ปี ประกันแพ็คคู่นี้จะทำงานยังไง? ฟลุคจะอธิบายตัวอย่างให้ดูเป็นกรณีๆ ดังนี้
***ข้อควรรู้ก่อนเริ่ม
1. UL เป็นประกัน 99/99 หมายความว่า ชำระเบี้ย 99 ปี คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี หรือ “จ่ายเบี้ยทุกปี” นั่นเอง
2. ประกันสุขภาพที่เปิดขายของกรุงเทพประกันชีวิต ณ ปัจจุบันเป็นแบบ new standard health ทุกตัว และสามารถซื้อแนบกับ UL ได้ ประกอบด้วย Value Health, Happy Health และ Prestige Health โดยประกันสุขภาพเป็นแบบ “จ่ายเบี้ยทุกปี” และคุ้มครองถึงอายุ 99 ปี
3. หลังเกษียณอายุ 60 ปี ยังส่งเบี้ย Unit link และประกันสุขภาพต่อไป
หากเราจ่ายเบี้ยทั้งคู่ ประกันชีวิตและสุขภาพก็ยังทำงานต่อไปจนครบอายุสัญญา 99 ปี หรือจนกว่าจะหมดอายุขัยของผู้ทำประกัน
4. หลังเกษียณอายุ 60 ปี ไม่ส่งเบี้ย Unit link และประกันสุขภาพต่อ แต่อยากให้คุ้มครองต่อเนื่อง
ในกรณีนี้ หลังจากที่หยุดส่งทั้งประกัน UL และประกันสุขภาพตั้งแต่อายุ 61 ปีเป็นต้นไป เงินที่สะสมในกองทุนจะถูกนำออกมาใช้เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมถึงค่าประกันสุขภาพในแต่ละปี และเมื่อเงินที่สะสมในกองทุนหมด ประกันฉบับนี้ก็จะหมดความคุ้มครองลงในที่สุด
UL สามารถซื้อแนบประกันสุขภาพ
ของกรุงเทพประกันชีวิตได้ทุกแผน อ่านเพิ่มเติมได้ที่…
Part 2 – แกะไส้ใน: ชนิดเบี้ยประกันและค่าธรรมเนียมต่างๆ
เบี้ยประกันของ UL จะมี 3 ชนิด
- Regular Premium (RP) – เบี้ยประกันภาคบังคับ
RP คือเบี้ยประกันหลักของกรมธรรม์ UL ซึ่งจะกำหนดขั้นต่ำไว้ 12,000 บาทต่อปี ส่วนความคุ้มครองจะอยู่ที่ 50-250 เท่าของเบี้ยที่เราจ่าย จากรูปด้านบนจะเห็นว่า RP จะถูกหักค่าธรรมเนียมสูงสุดเนื่องจากว่าเป็นเบี้ยประกันที่จะถูกนำไปคิดความคุ้มครอง

ส่วนอีก 2 อันคือเบี้ยประกันที่ไม่ใช่ภาคบังคับ
ซึ่งเบี้ยประกันที่ไม่ใช่ภาคบังคับ จะแบ่งเป็นอีก 2 ชนิดย่อย คือ
- Regular Top Up (RTU) – ไม่ใช่เบี้ยภาคบังคับแต่จ่ายประจำ ขั้นต่ำ 12,000 บาทต่อปี
- Ad-hoc Top Up (ATU) – ไม่ใช่เบี้ยภาคบังคับและไม่ต้องจ่ายเป็นประจำ ปีไหนอยากลงทุนก็ลง ไม่อยากลงก็ไม่ต้องลง ขั้นต่ำต่อครั้ง 12,000 บาท

ดังนั้นยิ่งเราส่งเบี้ยนานเท่าไหร่ เงินที่จะถูกสะสมเข้าส่วนกองทุนก็จะมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากค่าธรรมเนียมลดลงทุกปี
หากต้องการสะสมเงินในกองทุนให้มากขึ้น แนะนำสะสมใน RTU หรือ ATU เพราะจะถูกหักค่าธรรมเนียมน้อยกว่า
ค่าธรรมเนียม UL
1. Cost of Insurance (COI)
คือค่าการประกันภัยที่ตัวเลขจะขึ้นกับเพศ อายุ และจำนวนทุนประกันชีวิต ยิ่งแฟคเตอร์ตัวใดตัวนึงมาก ค่า COI ก็จะมากขึ้นตาม
2. ค่าดำเนินการประกันภัย (Premium Charge)
Premium Charge คือค่าดำเนินการ คล้ายๆกับค่า setup ระบบหลังบ้านของ unit link ซึ่งจะลดลงทุกๆปี
2.1 ค่าดำเนินการของเบี้ยประกัน RP
ปีที่ | ค่าดำเนินการประกันภัย (% ของเบี้ย) |
1 | 60 |
2 | 40 |
3 | 20 |
4-6 | 10 |
7-8 | 2 |
9 เป็นต้นไป | 0 |
2.2 ค่าดำเนินการของเบี้ยประกันภัย RTU และ ATU = คงที่ที่ 1.5% ต่อปี
3. ค่าบริหารกรมธรรม์ (Admin fee 0.6% ต่อปี)
คือค่าบริหารกรมธรรม์/กองทุน ที่กรมธรรม์ Unit Link ผูกอยู่ โดยค่าบริหารกรมธรรม์นี้จะถูกคิดเป็นรายเดือน คือ 0.6/12 = 0.05% ต่อเดือน
ทำไมต้องทำ BLA พรีเมียร์ ลิงค์ กับกรุงเทพประกันชีวิต?
หัวข้อ | BLA พรีเมียร์ ลิงค์ | AIA Issara+ | AllianZ My Style | MTL M Design |
เบี้ยประกันภัยเริ่มต้น (บาท/ปี) | 12,000 | 12,000 | 12,000 | 20,000 |
ความคุ้มครองสูงสุด (เท่าของเบี้ยที่ชำระ) | 250 | 250 | 250 | 15 |
Loyalty Bonus | 0.2% (ปีที่ 10-19), 0.3% (ปีที่20 เป็นต้นไป) | ได้ 0.45%/ปี ตั้งแต่อายุ 55 ปีเป็นต้นไป | 0.2% ตั้งแต่ปีที่ 6 เป็นต้นไป | – |
ค่าการดำเนินการประกันภัย (RP) | 8ปี | 6ปี | 6ปี | 10ปี |
ค่าการดำเนินการประกันภัย (RTU, ATU) | 1.5% | 1.5% | ปีที่ 1 10% ปีที่ 2 8% ปีที่ 3 6% ปีที่ 4 2% ปีที่ 5 เป็นต้นไป 0.5% | 4.25-5% |
ค่าการประกันภัย (Cost of Insurance) | คิดตามหลัก ‘corridor’ ยิ่งมูลค่ากองทุนมากเท่าไหร่ ค่า COI จะน้อยลงเท่านั้น | ? | ? | ? |
ค่าธรรมเนียมบริหารกรมธรรม์ (Admin fee) ต่อปี | 0.6% | 0.7% | 0.7% | – |
Non-Lapse Guarantee | 10ปี | – | 6ปี | 6ปี |
ค่าธรรมเนียมการเวนคืนและการถอนเงินออกจากกรมธรรม์บางส่วน (Surrender Charge) | ปีที่ 1 50% ปีที่ 2 25% ปีที่ 3 เป็นต้นไป -ไม่มี- | ปีที่ 1 50% ปีที่ 2 50% ปีที่ 3 เป็นต้นไป -ไม่มี- | ปีที่ 1 40% ปีที่ 2 30% ปีที่ 3 เป็นต้นไป -ไม่มี- | ปีที่ 1 50% ปีที่ 2 40% ปีที่ 3 35% ปีที่ 4 30% ปีที่ 5 25% ปีที่ 6 20% ปีที่ 7 15% ปีที่ 8 10% ปีที่ 9 5% |
*การคิดค่าธรรมเนียม COI ของกรุงเทพประกันชีวิตจะได้เปรียบมากๆในระยะยาว ลองคิดดูนะครับ หากเราทำประกัน UL ผ่านไป 20 ปี มีเงินในกองทุนอยู่ 5,000,000 บาท ซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อเงินในกองทุนเยอะ จะทำให้ทุนประกันสูง แปลว่าค่าธรรมเนียม COI จะสูงตาม … ในทางตรงกันข้ามที่กรุงเทพประกันชีวิต ยิ่งมูลค่ากองทุน (NAV) สูงขึ้นเท่าไหร่ จะทำให้ค่า COI น้อยลงเท่านั้น จึงทำให้ UL ของกรุงเทพประกันชีวิตได้เปรียบในส่วนนี้มาก