45 is the new 60

3 วิธีจัดการ PVD เมื่อ “45 is the new 60”

3 วิธีจัดการ PVD เมื่อ "45 is the new 60"
3 วิธีจัดการ PVD เมื่อ “45 is the new 60”

หลายๆ คนคงคาดไม่ถึงว่าเมื่อธนาคารใหญ่ได้ประกาศนโยบาย early retire ออกมา โดยเป็นกระแส hot hit “45 is the new 60” ทำให้หลายๆ คนตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือความกังวล ความไม่แน่ใจ และคำถามมากมายเกี่ยวกับอนาคตทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่อง PVD หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่สะสมมานานหลายปี

ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินที่มีประสบการณ์ 6 ปีกับกรุงเทพประกันชีวิต ผมได้รับสายจากลูกค้าหลายรายที่ตื่นตระหนกกับข่าวนี้ พวกเขาเป็นกังวลว่าเงิน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่สะสมมาจะเป็นอย่างไร จะต้องเสียภาษีเท่าไหร่ และจะมีทางเลือกอะไรบ้าง วันนี้ผมจะมาแบ่งปัน 3 วิธีจัดการ PVD ในยุคที่ 45 is the new 60 แบบละเอียดครับ

เงื่อนไขและสิทธิประโยชน์โครงการ “เกษียณก่อน เกษมสุข”

ก่อนจะไปดูวิธีจัดการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เรามาทำความเข้าใจเงื่อนไขของโครงการที่ทำให้เกิดกระแส “45 is the new 60” กันก่อน

เงื่อนไขการสมัครเข้าร่วมโครงการ:

1. เรื่องอายุ

  • พนักงานอายุ 45-59 ปี (นับถึง 1 ธ.ค. 2568)
  • ไม่จำกัดอายุการทำงาน

2. ช่วงเวลา

  • เปิดรับสมัคร 15 ส.ค. – 7 ต.ค. 2568
  • มีผลการลาออก 1 ธ.ค. 2568

สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ:

เงินชดเชยเกษียณอายุ:

  • เงินเดือนรวมค่าครองชีพ × จำนวนปีอายุงาน
  • เศษที่เกิน 6 เดือนนับเป็น 1 ปี
  • น้อยกว่า 6 เดือนปัดทิ้ง

เงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่มเติม:

  • อายุ 45-49 ปี: 8 เดือน
  • อายุ 50-54 ปี: 10 เดือน
  • อายุ 55-59 ปี: 12 เดือน

แต่สิ่งที่หลายคนกังวลมากกว่าคือ เงิน PVD ที่สะสมมาจะเป็นอย่างไร เพราะเมื่อลาออกจะต้องตัดสินใจจัดการกับมันอย่างไร

วิธีที่ 1: โยก PVD ไปที่ทำงานใหม่ – ทางออกที่ดีที่สุด

การโยก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไปที่ทำงานใหม่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาผลประโยชน์ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุค “45 is the new 60” ที่ผู้คนต้องปรับตัวหางานใหม่

ขั้นตอนการโยก PVD:

1. เตรียมความพร้อมก่อนลาออก

  • สอบถามฝ่าย HR เรื่องขั้นตอนการโอน PVD

2. หางานใหม่ที่มี PVD (ถ้าเป็นไปได้)

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าบริษัทใหม่มี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • สอบถามผู้ดูแลกองทุนและเงื่อนไขการรับโอน

3. ดำเนินการโอนเงิน

  • ยื่นคำขอโอนเงินสะสม PVD ไปยังกองทุนใหม่

ข้อดีของการโยก PVD:

  • ไม่เสียภาษี เมื่อโอนเงิน
  • นับอายุสมาชิกPVDให้ต่อเนื่อง

กรณีพิเศษ: ยังหางานไม่ได้

หากในยุค “45 is the new 60” การหางานใหม่ใช้เวลานาน สามารถ:

  • เก็บ PVD ไว้ที่เดิมชั่วคราว (ถ้าบริษัทอนุญาต)
  • อาจมีค่าธรรมเนียมการจัดการรายปีที่หักจากเงินต้น แต่ไม่มาก
  • ไม่สามารถสมทบเงินเพิ่มได้
  • มีเวลาค้นหางานโดยไม่ต้องรีบตัดสินใจ

วิธีที่ 2: เปลี่ยน PVD เป็น RMF เพื่อขายตอนอายุ 55+ – เหมาะกับผู้เกษียณถาวรหรือย้ายไปที่ทำงานใหม่ที่ไม่มี PVD

สำหรับผู้ที่ตัดสินใจเกษียณถาวรในยุค “45 is the new 60” และไม่ต้องการหางานประจำใหม่ การเปลี่ยน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็น RMF เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดเนื่องจากไม่มีการหักค่าธรรมเนียมจากเงินต้นเหมือนวิธีแรก แต่พอใส่เข้า RMF for PVD เรียบร้อยแล้ว ค่าธรรมเนียมจะถูกคิดในค่าบริหารกองทุนเรียบร้อยแล้วเช่นกัน (ไม่ชาร์จเพิ่ม)

ขั้นตอนการเปลี่ยน PVD เป็น RMF:

1. เลือก RMF ที่เหมาะสม

  • ศึกษานโยบายการลงทุนของ RMF ต่างๆ
  • เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมและผลตอบแทน
  • เลือกตามระดับความเสี่ยงที่รับได้

2. ดำเนินการเปลี่ยน

  • ติดต่อบริษัทจัดการกองทุน RMF ที่เลือก

ประโยชน์ของการเปลี่ยนเป็น RMF:

1. ความยืดหยุ่นสูง

  • ไม่ต้องพึ่งพานายจ้าง
  • ควบคุมการลงทุนเองได้

วิธีที่ 3: ขาย PVD ออกมา – รู้กฎเกณฑ์ ไม่เสียเปรียบ

การขาย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มี 3 กรณีหลัก ซึ่งแต่ละกรณีจะมีผลต่อภาษีที่ต้องจ่ายแตกต่างกัน โดยเฉพาะในยุค “45 is the new 60” ที่คนจำนวนมากต้องเผชิญกับการตัดสินใจนี้

3.1 อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป + อายุสมาชิกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป: ยกเว้นภาษี

เป็นเงื่อนไขที่ดีที่สุดสำหรับการขาย PVD

รายละเอียด:

  • ยกเว้นภาษี 100% ไม่ต้องนำไปรวมรายได้
  • ไม่ต้องแยกยื่นภาษี
  • ได้เงินเต็มจำนวนที่สะสมไว้

ตัวอย่างการคำนวณ:

  • คุณสมชาย อายุ 56 ปี
  • อายุสมาชิก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 12 ปี
  • เงินสะสม PVD 2.5 ล้านบาท
  • ภาษีที่ต้องจ่าย: 0 บาท
  • เงินที่ได้รับ: 2.5 ล้านบาทเต็ม

3.2 อายุไม่ถึง 55 ปี + อายุงานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป: ยื่นภาษีแบบแยกยื่น

เหมาะสำหรับผู้ที่เข้าข่ายกระแส “45 is the new 60” แต่มีอายุงานครบเงื่อนไข

รายละเอียด:

  • สามารถแยกยื่นภาษีจากรายได้อื่นๆ
  • คำนวณภาษีตามอัตราลดหลั่นปกติ
  • อัตราภาษีต่ำกว่าการรวมรายได้

ตัวอย่างการคำนวณ:

  • คุณสมหญิง อายุ 48 ปี (ตรงกับยุค “45 is the new 60”)
  • อายุงาน 8 ปี
  • เงินสะสม PVD 1.2 ล้านบาท

การคำนวณภาษีแบบแยกยื่น:

  • ขั้นตอนที่ 1 : หักค่าใช้จ่าย 7000 x อายุงาน
    • ตัวอย่าง: 7000 x 8 = 56,000 บาท
    • 1,200,000 – 56,000 = 1,144,000 บาท
  • ขั้นตอนที่ 2 : นำเงินก้อนนั้นหาร 2
    • 1,144,000 / 2 = 572,000 บาท
  • ขั้นตอนที่ 3: คำนวณภาษี
    • 0-300,000 = 5% x 300,000 = 15,000 บาท
    • 300,000-500,000 = 10% x 200,000 = 20,000 บาท
    • 500,000-572,000 = 15% x 72,000 = 10,800 บาท
    • เสียภาษีการแยกยื่น PVD = 45,800 บาท
  • ดังนั้นเงินที่ได้รับจริง = 1,200,000 – 45,800 = 1,154,200 บาท

3.3 อายุไม่ถึง 55 ปี + อายุงานน้อยกว่า 5 ปี: รวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี

เป็นกรณีที่เสียเปรียบที่สุด มักพบในผู้ที่เพิ่งเริ่มงานใหม่

รายละเอียด:

  • ต้องรวมเป็นรายได้ในปีที่ขาย
  • จะเสียภาษีในอัตราที่สูงมาก
  • แนะนำขายออกในปีถัดไปหลังจากลาออกแล้วเพื่อลดภาระภาษี

สรุป: เลือกวิธีจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้เหมาะสม

ในยุค “45 is the new 60” การจัดการ PVD หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องวางแผนให้รอบคอบ

ข้อแนะนำตามสถานการณ์:

หากหางานใหม่ได้:

  • เลือกโยก PVD ไปยังบริษัทใหม่ที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)
  • รักษาสิทธิประโยชน์ต่อเนื่อง
  • ไม่เสียภาษีและได้ประโยชน์เต็มที่

หากเกษียณถาวร:

  • พิจารณาเปลี่ยน PVD เป็น RMF
  • ใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่น
  • วางแผนรอขายตอนอายุ 55+

หากต้องการเงินด่วน:

  • ศึกษากฎการขาย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ให้ดี
  • เลือกวิธีที่เสียภาษีน้อยที่สุด
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ

กระแส “45 is the new 60” อาจดูน่ากลัว แต่หากเรามีความรู้และวางแผนการเงินที่ถูกต้อง การจัดการ PVD ก็ไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มวางแผนตั้งแต่วันนี้ เพื่อไม่ให้ตกใจเมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจ

หากคุณต้องการคำแนะนำเฉพาะสำหรับสถานการณ์ของคุณ แนะนำให้ปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินที่มีประสบการณ์ การวางแผนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ดีจะช่วยให้คุณผ่านพ้นยุค “45 is the new 60” ได้อย่างมั่นใจและมีศักดิ์ศรี


บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้เท่านั้น ข้อมูลอาจเปลี่ยนแปลงตามกฎหมายและระเบียบใหม่ แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจเกี่ยวกับ PVD และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

ติดต่อเรา

โทร 080-294-5216
อีเมล contact@wunlawealth.com

Similar Posts